“อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่ร่วมมิตรให้ระวังวาจา”
สุภาษิตไทยโบราณ ยังคงขลังและศักดิ์สิทธิ์เสมอมา ชีวิตที่ผิดพลาดเพราะการกระทำนั้น ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่อง
“วจีกรรม”
ศีลข้อ 4 กล่าวถึงมุสาวาทา แต่ยังแบ่งซอยออกเป็นไม่พูดหยาบคาย
ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด
ไม่พูดให้เขาแตกแยก
เส้นทางชีวิตหากตะบึงวิ่งผ่าน เราจะไม่เห็นอะไรแจ่มชัด
ลองช้าลง หยุดคิดพิจารณา ตามดูตัวเองทุกฝีก้าว เราจะพบจุดบกพร่อง
มากมายที่นาแก้ไข “พูดแล้วได้อะไร”
หมั่นเตือนสติ เตือนตัวเองเสมอๆ
เพื่อชีวิตจะได้ไม่ผิดพลาด เพื่อชีวิตจะได้
ไม่ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำ
หรือทำให้ผู้อื่นเสียใจ
“พูดแล้วได้อะไร”
“นี่เธอๆ อย่าบอกใครนะ ยายแดงเพื่อนเราที่แต่งงานไปเมื่อปีก่อน เมื่อวานฉันเห็นควงกับหนุ่มหล่อ”
“ขยันแทบตาย
ไม่เคยได้ 2 ขั้น เลิกทำๆ”
“ไอ้แดงทำเดี๋ยวนี้นะ
ทำเดี๋ยวตบชัด” (พูดกับลูก)
“พ่อให้อะไรหนูบ้าง
ดูบ้านโน้นสิ พ่อเขาใจดีจะตาย”
“เรียนได้เกรดแค่นี้
ไปตายซะดีกว่า”
“พูดแล้วได้อะไร” เหมือนท่องนะโมเตือนสติก่อนสาย
หลายๆ อย่างที่พูดออกไปทำร้ายตัวเอง บั่นทอนกำลังใจตัวเอง
ให้ถดถอย
หลายๆ อย่างทำให้คนอื่นเกลียดชัง ถือสา ต่างอย่างเป็นที่รัก
แต่ความฝันกับความเป็นจริงกับห่างกันสุดกู่ เพราะเรา
ทำเอง ตรองก่อนพูด รู้ตัวก่อนเอื้อนเอ่ย
แล้วไม่รู้แล้ว ความผิดเก่า ๆ
เอามาฟื้นฝอยหาตะเข็บ ก่อความเจ็บช้ำโดยใช่เหตุ
“พูดแล้วได้อะไร”
ถามตัวเองทุกครั้ง มีเจตนาอย่างไรจึงพูดประโยคนี้
หวังดีกับลูก หวังดีกับคนรัก แต่เพราะขาดสติ สิ่งที่บอกกล่าวจึงกลับกลายเป็นคำพูดที่น่าเบื่อหน่าย
“พูดแล้วได้อะไร” พูดแล้วหยุดเขาไมได้
พูดแล้วรับรองไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราหยุดพูดดีกว่า
พูดน้อย ไม่พูด
บ่อย แต่นานๆ
พูดทีครอบครัวก็จะสงบสุข ไม่ปั่นป่วนด้วยมรสุมปาก
“พูดแล้วได้อะไร”
ลูกก็จะหายดื้อ คนรักก็จะไม่หน่ายแหนง
มิใช่มาแล้วยาย (ตา) ปากปลาร้า ปากไม่มีหูรูด
โอ้ ! แสนจะเบื่อหน่าย “อยากให้เขาดี”
เหตุผลสวยหรู แต่วิธีการตื้นเขิน อยากให้เขาดีมิใช่พร่ำพูด
ย้ำพูด
(ยิ่งประชด ยิ่งไปใหญ่) แท้ที่จริงเป็นเพียงระบายตัณหาความอยากของเราออกไปต่างหาก
“พูดแล้วได้อะไร”
คำพูดจะต้องบรรจงร้อยเรียงมอบให้แก่ผู้ฟัง มิใช่อ้วกส่งเพราะทนไม่ไหว ทุกคนมีจิตใจ
มีวิญญาณ มีสำนึกที่จะรู้ดีว่าใครจริงใจ หวังดีหรือทำเป็นอ้างจริงใจ “พูดแล้วได้อะไร”
ย้ำเตือนบ่อย ๆ คำพูดจะต้องออกมา
ด้วยความปรารถนาดี มิใช่สักแต่เพ้อเจ้อ หรือเพราะไม่มีอะไรทำ
นิสัยของคนมักจะชอบถล่มคนอื่น แต่โอ่โอ๋ตัวเอง
จึงเป็น
สังคมแห่งการนินทาที่แก้ไขแสนจะยาก
“สวยดีนะ
แต่เดินเหมือนเป็ด”
“ต่อยมันได้ที่
1 ก็จริง แต่บ้านมันจนอย่าบอกใคร”
“ดูเสื้อเขียวขี่รถเก๋งซิ
คงโกงมาละซิท่า ถึงมีเงินซื้อ”
“ครูบุษบาได้ 2
ขั้น ฉันสงสัย คงประจบครูใหญ่น่าดู”
“ผัวเมียคู่นี้จะดีกันได้สักกี่น้ำ
อีกหน่อยก็คงเหมือนพวกเราแหละ”
โธ่เอ๊ย! ทำเป็นเคร่ง
อดเหล้า อดบุหรี่ จะไปได้ซักกี่น้ำ”
“เขาทำงานดีอยู่หรอก
แต่ว่า...ฯลฯ”
“นิสัยเขาก็ดีนะ
เสียแต่ว่า...ฯลฯ”
ก็ว่ากับไปสุดแต่จะคิดค้น
แต่คนเรานั้นถนัดนักที่จะดึงเอาความบกพร่องของคนอื่นออกมา
คนมีกรรม
คือ กินยาก อยู่ยาก โกรธง่าย
และมองคนในแง่ดีไม่เป็น
“พูดแล้วได้อะไร”
ตั้งจิตเมตตา ให้อภัยทุกผู้ แม้ศัตรูก็จะไม่ขอว่าร้าย
คนชอบกัน เราย่อมแต่ส่วนดี แต่คนเกลียดกัน
ลองงดพูดในส่วนร้ายจะไหวไหม ปาณาติบาต
การทำร้ายผู้อื่นด้วยกายกรรม เป็นบาปใหญ่
1 ใน 5 แห่งศีลของพระพุทธศาสนา
มุสาวาทา
มิใช่โกหกแต่อย่างเดียว ยังหมายถึงการกล่าวร้ายทำร้ายผู้อื่นทางวจีกรรมด้วย
“พูดแล้วได้อะไร” รับประกันชนิดไม่ต้องซ่อม
ครอบครัวจะเป็นสุข บ้านผีสิงจะเป็นบ้านพระ ที่ทำงานจะกลับกลายจาก
นรกเป็นสวรรค์ คำสิริมงคลคำนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล
เพราะการอดกลั้นไม่ประทุษร้ายทางวาจานั้น เป็นอีกวิธีการหนึ่งแห่งการลด
โทสะอย่างชะงัด แล้วเราจะได้พ้นบาปกรรมที่เรียงคิวเข้ามาอย่างน่ากลัวเสียที
ชีวิตไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนักหรอก หากลองแก้ไข
เริ่มต้นที่ตัวเอง ฝึกพูดให้เป็น
มิใช่กระโชกโฮกฮากเข้าใส่ เพราะคนมิใช่กระโถน
มิใช่ขี้ข้า มิใช่ต่ำเกียรติ ด้วยศักดิ์ศรี
แล้วคน
จะไว้ใจ เชื่อถือ แล้วคนจะรัก เคารพและศรัทธา...สรรพคุณขนาดนี้ ถ้าไม่คิดฝึก
ก็คงต้องปล่อยให้คนเกลียดชังทั่วทั้งแผ่นดิน
นะเออ
โดย... สุวลี
หนังสือ... ธรรมะเตือนตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น